ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล
โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา
เราพูดเป็นประโยคที่มีใจความสมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้หรือเข้าใจโครงสร้างของภาษา
โครงสร้างเป็นสิ่งที่บอกเราว่าเราจะนำคำศัพท์ที่เรารู้มาประกอบกันหรือเรียงกันอย่างไรจึงจะเป็นที่เข้าใจของผู้ที่เราสื่อสารด้วย การแปลผู้แปลมักนึกถึงศัพท์
อันที่จริงนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาในการแปล
ปัญหาที่สำคัญและลึกซึ้งกว่านั้นคือ ปัญหาทางโครงสร้าง
นักแปลผู้ใดก็ตามที่ถึงแม้จะรู้ศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่หากไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นก็มีโอกาสล้มเหลวได้
เพราะอาจตีความผิดหรือถ่ายทอดเป็นภาษาเป้าหมายที่ผิดได้ ดังนั้น ความแตกต่างทางโครงสร้างจึงก่อให้เกิดปัญหากับการแปล
แต่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้ ดังนี้
1. ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำ (parts of speech) เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง
เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสาร
ประโยคจะถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดของคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์ อย่างไรก็ตาม
ต้องคิดด้วยว่าเวลานำคำไปใช้จริงคำชนิดนั้นเกี่ยวพันกับประเภททางไวยากรณ์อะไรบ้างในภาษานั้นๆ
ประเภททางไวยากรณ์ (grammatical category) หมายถึง ลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำ มีประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญสำหรับการเทียบภาษาไทยกับภาษาอังกฤษโดยจะเรียงลำดับตามชนิดของคำที่เกี่ยวข้องได้
ดังนี้
1.1 คำนาม
เมื่อเปรียบเทียบคำนามในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
พบว่าประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้ (marker)
ในภาษาอังกฤษแต่เป็นลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย ได้แก่
1.1.1 บุรุษ (person)
-
ในภาษาอังกฤษ แยกรูปสรรพนามตามบุรุษที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อย่างเด่นชัด
- ในภาษาไทย ไม่แยกเด่นชัด เพราะบางคำใช้ได้หลายบุรุษ
1.1.2 พจน์ (number)
-
ในภาษาอังกฤษ มีการบ่งชี้พจน์
- ในภาษาไทย ไม่มีการบ่งชี้พจน์
หากจะแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ
ผู้แปลจะต้องระบุคำนามในภาษาอังกฤษว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์เสมอ
1.1.3 การก (case)
-
ในภาษาอังกฤษ การกของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ
- ในภาษาไทย ใช้การเรียงคำ
เหมือนกับการกประธานและการกกรรมในภาษาอังกฤษ
1.1.4 นามนับได้ กับนามนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns)
-
ในภาษาอังกฤษ ไม่เป็นระบบทั่วไป มีการใช้หน่วยบอกปริมาณหรือปริมาตรกับคำนามที่นับไม่ได้ทำให้เป็นหน่วยเหมือนนับได้
- ในภาษาไทย คำนามทุกคำนับได้ มีลักษณนามบอกจำนวนของทุกสิ่งได้
1.1.5 ความชี้เฉพาะ (definiteness)
-
ในภาษาอังกฤษ มีการแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ
- ในภาษาไทย ไม่มีการแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ
ดังนั้นเวลาคนไทยแปลไทยเป็นอังกฤษจึงต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อแปลอังกฤษเป็นไทยลักษณะความแตกต่างดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องแสดงในภาษาไทย เพราะถ้าแสดงจะทำให้ฟังดูรกรุงรังไม่เป็นธรรมชาติ
1.2 คำกริยา
เป็นหัวใจของประโยค
การใช้กริยาซับซ้อนกว่าคำนาม เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท
ดังนี้
1.2.1 กาล (tense)
-
ในภาษาอังกฤษ ต้องแสดงกาลเสมอว่าเป็นอดีต หรือไม่ใช่อดีต ผู้พูดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากการบ่งชี้กาล
เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาแยกความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับไม่ใช่อดีต
- ในภาษาไทย ไม่ถือว่ากาลเป็นเรื่องสำคัญ
1.2.2 การณ์ลักษณะ (aspect)
-
ในภาษาอังกฤษ ถือว่าเรื่องเวลาของเหตุการณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก การณ์ลักษณะที่สำคัญ
ได้แก่ การณ์ลักษณะต่อเนื่องหรือการณ์ลักษณะดำเนินอยู่ และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น
- ในภาษาไทย ถือว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อใดไม่เป็นสิ่งสำคัญ ผู้พูดไม่เน้นเรื่องเวลาของเหตุการณ์
เวลาเป็นเรื่องลอยตัว ไม่ต้องระบุให้ชัดแจ้ง
1.2.3 มาลา (mood)
-
ในภาษาอังกฤษ แสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยาหรือแสดงโดยใช้คำกริยาช่วย ที่เรียกว่า model auxiliaries
- ในภาษาไทย แสดงโดยกริยาช่วยหรือคำวิเศษณ์เท่านั้น
ไม่ได้แสดงโดยการเปลี่ยนรูปกริยา
1.2.4 วาจก (voice)
-
ในภาษาอังกฤษ ประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก แต่ในบางกรณี กริยาจำเป็นต้องอยู่ในรูปกรรมวาจก
เพราะผู้พูดอาจไม่ต้องการระบุผู้กระทำ แต่ต้องการเน้นผู้ถูกกระทำแทน ประโยคกรรมสามารถเทียบเท่ากับประโยคกรรมหลายประเภทในภาษาไทย
- ในภาษาไทย คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเองเพื่อแสดงกรรตุวาจกหรือกรรมวาจก
1.2.5 กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite vs. non-finite)
-
ในภาษาอังกฤษ ประโยคเดียวจะมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น
ซึ่งมีรูปแบบที่เห็นชัดจากการที่ต้องลงเครื่องหมายเพื่อบ่งชี้ประเภททางไวยากรณ์ต่างๆ
ส่วนกริยาอื่นๆในประโยคต้องแสดงรูปให้เห็นชัดว่าไม่ใช่กริยาแท้
- ในภาษาไทย กริยาทุกตัวในประโยคไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน
หรือเครื่องหมายที่เราจะระบุได้ทันทีว่าตัวไหนเป็นกริยาแท้หรือไม่แท้
ในการแปลจากอังกฤษเป็นไทย ผู้แปลอาจจำเป็นต้องขึ้นต้นประโยคใหม่
นั่นหมายความว่าทำกริยาไม่แท้ให้เป็นกริยาแท้ ของประโยคใหม่
1.3. ชนิดของคำประเภทอื่น
คำที่เป็นปัญหาในตัวศัพท์เอง ได้แก่
- คำ preposition
- ในภาษาอังกฤษ สามารถห้อยท้ายวลี หรือ ประโยคได้
- ในภาษาไทย ไม่มีโครงสร้างแบบนี้
- คำ adjective
- ในภาษาอังกฤษ ใช้ verb to be เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค
- ในภาษาไทย ไม่มี เพราะใช้คำกริยาทั้งหมด
- ในภาษาอังกฤษ adjective เรียงตัวกันหลายคำเพื่อขยายคำนามที่เป็นคำหลัก
- ในภาษาไทย มีคำขยายอยู่หลังคำหลัก
ทำให้เรียงคำขยายแบบภาษาอังกฤษไม่ได้
- คำลงท้าย
- ในภาษาอังกฤษ ไม่มีชนิดของคำประเภทนี้
- ในภาษาไทย ต้องใช้คำประเภทอื่นหรือรูปแบบอื่นแทน
2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หมายถึง หน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง เมื่อเปรียบเทียบหน่วยสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษพบว่ามีหน่วยสร้างที่แตกต่างกัน
ซึ่งผู้แปลควรให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษดังนี้
2.1 หน่วยสร้างนามวลี: ตัวกำหนด (Determiner) + นาม (อังกฤษ) vs. นาม (ไทย)
- ในภาษาอังกฤษ ต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ
ถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์(ยกเว้นนามที่เป็นชื่อเฉพาะและสรรพนาม)
นอกจากนั้น ตัวกำหนดยังนำหน้านามเพื่อบ่งบอกความชี้เฉพาะของคำนาม
- ในภาษาไทย ไม่มีตัวกำหนดแบบในภาษาอังกฤษ มีแต่คำบ่งชี้ เช่น
นี้ นั้น โน้น นู้น ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้ไกล และเฉพาะเจาะจง และเราอาจเรียกคำเหล่านี้ว่า
ตัวกำหนด (determiner)
ดังนั้นเรามักพบเสมอว่าในขณะที่นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดปรากฏแต่ในภาษาไทยไม่มี
2.2 หน่วยสร้างนามวลี: ส่วนขยาย + ส่วนหลัก (อังกฤษ) vs. ส่วนหลัก+ส่วนขยาย (ไทย)
- ในภาษาอังกฤษ วางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก
-
ในภาษาไทย วางส่วนหลักไว้ข้างหน้าส่วนขยาย
เวลาแปลจากอังกฤษเป็นไทย
ถ้าส่วนขยายไม่ยาวเราเพียงแต่ย้ายที่ส่วนขยายจากหน้าไปหลังก็ใช้ได้
แต่หากส่วนขยายยาวหรือซับซ้อน ผู้แปลอาจแปลเป็น relative clause หรือขึ้นประโยคใหม่โดยเก็บใจความ
2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive
constructions)
- ในภาษาอังกฤษ มีรูปแบบเด่นชัด และมีแบบเดียว (ประธาน/ผู้รับการกระทำ+กริยา-
-verb to be + past
participle + (by นามวลี/ผู้กระทำ))
-
ในภาษาไทย มีหลายรูปแบบ
- ในภาษาอังกฤษ กริยาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก เป็นกรรมวาจก
-
ในภาษาไทย กริยาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก เป็นกรรตุวาจก
2.4 หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษ) กับประโยคเน้น topic (ไทย)
- ในภาษาอังกฤษ เป็นภาษาเน้นsubject (subject-oriented language)
-
ในภาษาไทย เป็นภาษาเน้น topic (topic-oriented language)
2.5 หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial
verb construction)
- ในภาษาอังกฤษ มีหน่วยสร้างเป็นกริยาเรียง
-
ในภาษาไทย หน่วยสร้างในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษและมักเป็นปัญหาในการแปล
ได้แก่ โครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรคั่นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า
“ข้อสรุปท้ายสุด คือ หากผู้แปลตระหนักในความสำคัญของความแตกต่างทางโครงสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษดังแสดงมาข้างต้น
ผู้แปลจะมีปัญหาในการแปลน้อยลง
และผลงานที่แปลจะใกล้เคียงกับลักษณะภาษาแม่ในภาษาเป้าหมายมากที่สุด”
SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
NSTRU
No comments:
Post a Comment