▂▃▅▆█♫ WELCOME to TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.♫◤ยินดีต้อนรับเข้าสู่ TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.◥ ...♥Miss You So Much♥ ...█▆▅▃▂

Saturday, August 1, 2015

ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล

SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
NSTRU
ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล

โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา เราพูดเป็นประโยคที่มีใจความสมบูรณ์และสื่อสารกันรู้เรื่องเพราะเรารู้หรือเข้าใจโครงสร้างของภาษา โครงสร้างเป็นสิ่งที่บอกเราว่าเราจะนำคำศัพท์ที่เรารู้มาประกอบกันหรือเรียงกันอย่างไรจึงจะเป็นที่เข้าใจของผู้ที่เราสื่อสารด้วย การแปลผู้แปลมักนึกถึงศัพท์ อันที่จริงนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาในการแปล ปัญหาที่สำคัญและลึกซึ้งกว่านั้นคือ ปัญหาทางโครงสร้าง นักแปลผู้ใดก็ตามที่ถึงแม้จะรู้ศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่หากไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของศัพท์เหล่านั้นก็มีโอกาสล้มเหลวได้ เพราะอาจตีความผิดหรือถ่ายทอดเป็นภาษาเป้าหมายที่ผิดได้ ดังนั้น ความแตกต่างทางโครงสร้างจึงก่อให้เกิดปัญหากับการแปล แต่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้ ดังนี้

1. ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ

ชนิดของคำ (parts of speech) เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสาร ประโยคจะถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดของคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์ อย่างไรก็ตาม ต้องคิดด้วยว่าเวลานำคำไปใช้จริงคำชนิดนั้นเกี่ยวพันกับประเภททางไวยากรณ์อะไรบ้างในภาษานั้นๆ

          ประเภททางไวยากรณ์ (grammatical category) หมายถึง ลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง  ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำ มีประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญสำหรับการเทียบภาษาไทยกับภาษาอังกฤษโดยจะเรียงลำดับตามชนิดของคำที่เกี่ยวข้องได้ ดังนี้
1.1 คำนาม
     เมื่อเปรียบเทียบคำนามในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ พบว่าประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้ (marker) ในภาษาอังกฤษแต่เป็นลักษณะที่ไม่สำคัญหรือไม่มีตัวบ่งชี้ในภาษาไทย ได้แก่
1.1.1 บุรุษ (person)
        - ในภาษาอังกฤษ แยกรูปสรรพนามตามบุรุษที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อย่างเด่นชัด
        - ในภาษาไทย ไม่แยกเด่นชัด เพราะบางคำใช้ได้หลายบุรุษ
1.1.2 พจน์ (number) 
        - ในภาษาอังกฤษ มีการบ่งชี้พจน์
        - ในภาษาไทย ไม่มีการบ่งชี้พจน์
หากจะแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ผู้แปลจะต้องระบุคำนามในภาษาอังกฤษว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์เสมอ
1.1.3 การก (case)
        - ในภาษาอังกฤษ การกของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ
        - ในภาษาไทย ใช้การเรียงคำ เหมือนกับการกประธานและการกกรรมในภาษาอังกฤษ
1.1.4 นามนับได้ กับนามนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns)
        - ในภาษาอังกฤษ ไม่เป็นระบบทั่วไป มีการใช้หน่วยบอกปริมาณหรือปริมาตรกับคำนามที่นับไม่ได้ทำให้เป็นหน่วยเหมือนนับได้
        - ในภาษาไทย คำนามทุกคำนับได้ มีลักษณนามบอกจำนวนของทุกสิ่งได้
1.1.5 ความชี้เฉพาะ (definiteness)
        - ในภาษาอังกฤษ มีการแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ
        - ในภาษาไทย  ไม่มีการแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ
        ดังนั้นเวลาคนไทยแปลไทยเป็นอังกฤษจึงต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เมื่อแปลอังกฤษเป็นไทยลักษณะความแตกต่างดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องแสดงในภาษาไทย เพราะถ้าแสดงจะทำให้ฟังดูรกรุงรังไม่เป็นธรรมชาติ
1.2 คำกริยา
     เป็นหัวใจของประโยค การใช้กริยาซับซ้อนกว่าคำนาม เพราะมีประเภททางไวยากรณ์ต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท ดังนี้
1.2.1 กาล (tense)
        - ในภาษาอังกฤษ ต้องแสดงกาลเสมอว่าเป็นอดีต หรือไม่ใช่อดีต ผู้พูดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากการบ่งชี้กาล เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาแยกความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับไม่ใช่อดีต
        - ในภาษาไทย ไม่ถือว่ากาลเป็นเรื่องสำคัญ
1.2.2 การณ์ลักษณะ (aspect)
        - ในภาษาอังกฤษ ถือว่าเรื่องเวลาของเหตุการณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก การณ์ลักษณะที่สำคัญ ได้แก่ การณ์ลักษณะต่อเนื่องหรือการณ์ลักษณะดำเนินอยู่ และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น
        - ในภาษาไทย ถือว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อใดไม่เป็นสิ่งสำคัญ ผู้พูดไม่เน้นเรื่องเวลาของเหตุการณ์ เวลาเป็นเรื่องลอยตัว ไม่ต้องระบุให้ชัดแจ้ง
1.2.3 มาลา (mood)
        - ในภาษาอังกฤษ แสดงโดยการเปลี่ยนรูปคำกริยาหรือแสดงโดยใช้คำกริยาช่วย ที่เรียกว่า model auxiliaries
        - ในภาษาไทย แสดงโดยกริยาช่วยหรือคำวิเศษณ์เท่านั้น ไม่ได้แสดงโดยการเปลี่ยนรูปกริยา
1.2.4 วาจก (voice) 
        - ในภาษาอังกฤษ ประโยคส่วนใหญ่จะมีกริยาเป็นกรรตุวาจก แต่ในบางกรณี กริยาจำเป็นต้องอยู่ในรูปกรรมวาจก เพราะผู้พูดอาจไม่ต้องการระบุผู้กระทำ แต่ต้องการเน้นผู้ถูกกระทำแทน ประโยคกรรมสามารถเทียบเท่ากับประโยคกรรมหลายประเภทในภาษาไทย
        - ในภาษาไทย คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเองเพื่อแสดงกรรตุวาจกหรือกรรมวาจก
1.2.5 กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite vs. non-finite)
        - ในภาษาอังกฤษ ประโยคเดียวจะมีกริยาแท้ได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งมีรูปแบบที่เห็นชัดจากการที่ต้องลงเครื่องหมายเพื่อบ่งชี้ประเภททางไวยากรณ์ต่างๆ ส่วนกริยาอื่นๆในประโยคต้องแสดงรูปให้เห็นชัดว่าไม่ใช่กริยาแท้
        - ในภาษาไทย กริยาทุกตัวในประโยคไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน หรือเครื่องหมายที่เราจะระบุได้ทันทีว่าตัวไหนเป็นกริยาแท้หรือไม่แท้
        ในการแปลจากอังกฤษเป็นไทย ผู้แปลอาจจำเป็นต้องขึ้นต้นประโยคใหม่ นั่นหมายความว่าทำกริยาไม่แท้ให้เป็นกริยาแท้ ของประโยคใหม่
1.3. ชนิดของคำประเภทอื่น
      คำที่เป็นปัญหาในตัวศัพท์เอง ได้แก่
- คำ preposition
- ในภาษาอังกฤษ สามารถห้อยท้ายวลี หรือ ประโยคได้
- ในภาษาไทย ไม่มีโครงสร้างแบบนี้
- คำ adjective      
- ในภาษาอังกฤษ ใช้ verb to be เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค
- ในภาษาไทย ไม่มี เพราะใช้คำกริยาทั้งหมด
- ในภาษาอังกฤษ  adjective เรียงตัวกันหลายคำเพื่อขยายคำนามที่เป็นคำหลัก
- ในภาษาไทย มีคำขยายอยู่หลังคำหลัก ทำให้เรียงคำขยายแบบภาษาอังกฤษไม่ได้
- คำลงท้าย
- ในภาษาอังกฤษ ไม่มีชนิดของคำประเภทนี้
- ในภาษาไทย ต้องใช้คำประเภทอื่นหรือรูปแบบอื่นแทน

2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

หมายถึง หน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง เมื่อเปรียบเทียบหน่วยสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษพบว่ามีหน่วยสร้างที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้แปลควรให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษดังนี้
2.1 หน่วยสร้างนามวลีตัวกำหนด (Determiner) + นาม (อังกฤษ) vs. นาม (ไทย)
         - ในภาษาอังกฤษ ต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ ถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์(ยกเว้นนามที่เป็นชื่อเฉพาะและสรรพนาม) นอกจากนั้น ตัวกำหนดยังนำหน้านามเพื่อบ่งบอกความชี้เฉพาะของคำนาม
      - ในภาษาไทย ไม่มีตัวกำหนดแบบในภาษาอังกฤษ มีแต่คำบ่งชี้ เช่น นี้ นั้น โน้น นู้น ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้ไกล และเฉพาะเจาะจง และเราอาจเรียกคำเหล่านี้ว่า ตัวกำหนด (determiner)
      ดังนั้นเรามักพบเสมอว่าในขณะที่นามวลีในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดปรากฏแต่ในภาษาไทยไม่มี
2.2 หน่วยสร้างนามวลีส่วนขยาย + ส่วนหลัก (อังกฤษ) vs. ส่วนหลัก+ส่วนขยาย (ไทย)
        - ในภาษาอังกฤษ วางส่วนขยายไว้ข้างหน้าส่วนหลัก
     - ในภาษาไทย วางส่วนหลักไว้ข้างหน้าส่วนขยาย
     เวลาแปลจากอังกฤษเป็นไทย ถ้าส่วนขยายไม่ยาวเราเพียงแต่ย้ายที่ส่วนขยายจากหน้าไปหลังก็ใช้ได้ แต่หากส่วนขยายยาวหรือซับซ้อน ผู้แปลอาจแปลเป็น relative clause หรือขึ้นประโยคใหม่โดยเก็บใจความ
2.3 หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive constructions)
        - ในภาษาอังกฤษ มีรูปแบบเด่นชัด และมีแบบเดียว (ประธาน/ผู้รับการกระทำ+กริยา- -verb to be + past participle + (by นามวลี/ผู้กระทำ))
     - ในภาษาไทย มีหลายรูปแบบ
        - ในภาษาอังกฤษ กริยาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก เป็นกรรมวาจก
     - ในภาษาไทย กริยาเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก เป็นกรรตุวาจก
2.4 หน่วยสร้างประโยคเน้น subject (อังกฤษกับประโยคเน้น topic (ไทย)
      - ในภาษาอังกฤษ เป็นภาษาเน้นsubject (subject-oriented language)
     - ในภาษาไทย เป็นภาษาเน้น topic (topic-oriented language) 
2.5 หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย (serial verb construction)
        - ในภาษาอังกฤษ มีหน่วยสร้างเป็นกริยาเรียง
     - ในภาษาไทย หน่วยสร้างในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษและมักเป็นปัญหาในการแปล
ได้แก่ โครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรคั่นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า

ข้อสรุปท้ายสุด คือ หากผู้แปลตระหนักในความสำคัญของความแตกต่างทางโครงสร้างในภาษาไทยและภาษาอังกฤษดังแสดงมาข้างต้น ผู้แปลจะมีปัญหาในการแปลน้อยลง และผลงานที่แปลจะใกล้เคียงกับลักษณะภาษาแม่ในภาษาเป้าหมายมากที่สุด
SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
NSTRU

No comments:

Post a Comment