▂▃▅▆█♫ WELCOME to TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.♫◤ยินดีต้อนรับเข้าสู่ TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.◥ ...♥Miss You So Much♥ ...█▆▅▃▂

Saturday, November 14, 2015

FRANKENSTEIN “แฟรงเกนสไตน์กับตำนานผีดิบคืนชีพ”, Mary Shelly (Chapter1-5)

SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
NSTRU

FRANKENSTEIN “แฟรงเกนสไตน์กับตำนานผีดิบคืนชีพ
ŸMary ShellyŸ
Chapter 1
ตอนที่ 1
...เริ่มต้นเรื่องราว...
                กัปตัน!  มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนน้ำแข็ง  ดูทางโน้นสิ”
                    กะลาสีที่ยืนบนยอดเสาเรืออยู่สูงเหนือกัปตันพูดขึ้น  มือของกะลาสีผู้นั้นชี้ไปไกลอีกหลายไมล์ที่บนพื้นน้ำแข็งบนทะเลนั่น
                    กัปตันมองไปที่ทิศเหนือที่กะลาสีผู้นั้นชี้  เขาจึงได้เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังวิ่งพุ่งตรงมาที่เรืออย่างรวดเร็ว  เขาหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องดู  เขาเห็นสุนัข 10 ตัว  กำลังลากเลื่อนหิมะขนาดยักษ์อยู่บนน้ำแข็ง  และเห็นคนบังคับเลื่อนซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตผิดแปลกจากคนทั่วๆ ไป
                    เลื่อนนั่นวิ่งเข้าใกล้ทะเลมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือ 1 ใน 4 ไมล์ ที่จะถึงเรือได้  และถึงตอนนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อมองคนบังคับเลื่อนที่มีรูปร่างใหญ่ยักษ์มหึมานั่นอีกแล้ว
                    ทันใดนั้นเอง  เลื่อนได้วิ่งเข้าไปข้างหลังภูเขาน้ำแข็งและหายไป  และในขณะเดียวกันก็มีเลื่อนปรากฏขึ้นอีก 1 คัน  มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเฉกเช่นเลื่อนคันแรก  และเห็นได้ชัดว่ากำลังไล่ตามรถเลื่อนคันแรกไป  แต่คนที่บังคับเลื่อนนี้ตัวเล็กกว่า  เขาตัวเล็กเหมือนกับคนทั่วๆ ไป  สุนัขของรถเลื่อนนั้นวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น  เลื่อนคันที่ 2 ก็หายไปด้านหลังภูเขาน้ำแข็งนั่นอีก
                    2 ชั่วโมงผ่านไป  เลื่อนทั้ง 2 ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก  ไม่มีอะไรที่เคลื่อนไหวบนน้ำแข็งนั้นอีกแล้ว  ไม่นานเวลาค่ำคืนก็มาถึง  และในคืนนั้นก็มีพายุ  ในตอนเช้า  เหล่ากะลาสีก็เห็นน้ำแข็งก้อนใหญ่หลายก้อนลอยอยู่รอบๆ เรือ  ทันใดนั้น  กะลาสีบนเสาเรือก็ตะโกนขึ้นอีกว่า
                    “กัปตัน!  ผมเห็นคนบนน้ำแข็งนั่น”
                    กะลาสีชี้ไปยังน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่ใกล้เรือ  ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนน้ำแข็ง  และใกล้ๆ กันก็มีเลื่อนที่พังอยู่  ชายผู้นั้นใกล้ตายเพราะหนาว  ไม่สามารถที่จะเคลื่นไหวได้  กะลาสีจึงแบกเขาไปหากัปตันอย่างระมัดระวัง  กัปตันพูดกับเขาว่า
                    “ยินดีต้อนรับสู่เรือของฉัน  ฉันเป็นกัปตันเรือนี้  และชื่อของฉันคือ โรเบิร์ต  วอลตัน”
                    “ขอบคุณ  กัปตันวอลตัน”  เขาพูด  “ผมชื่อแฟรงเกนสไตน์  วิคเตอร์  แฟรงเกนสไตน์”
                    จากนั้น  เขาก็หมดสติไปและไม่พูดอะไรต่ออีก
                    2 วันที่ผ่านมา  เขาแข็งแรงมากพอที่จะพูดคุย  กัปตันจึงได้ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของเขา
                    “ผมพยายามไล่ตามคนๆ หนึ่ง”  แฟรงเกนสไตน์พูด  “มันเป็นเหตุที่ทำให้ผมต้องเดินทางไกลมาถึงทางเหนือบนน้ำแข็งนี้”
                    “พวกเราเห็นคุณไล่ตามเขาอยู่”  กัปตันพูด  “เขารูปร่างใหญ่โตกว่าคนทั่วไป  เราเห็นเลื่อนของเขา  มันนำหน้าคุณไปเมื่อคืนก่อนที่จะมีพายุ”
ผมดีใจมากที่คุณเห็นเขา”  แฟรงเกนสไตน์พูด  “บางทีนั่นอาจทำให้คุณเชื่อเรื่องของผมมากยิ่งขึ้น”
                    ในหลายวันมานี้  กัปตันก็ทำงานบนเรือของเขา  ส่วนแฟรงเกนสไตน์ก็เขียนเรื่องราวของเขา  และในแต่ละคืน  เขาก็อ่านในสิ่งที่เขาเขียนให้กัปตันได้ฟัง

                    นี่เป็นเรื่องราวที่  วิคเตอร์  แฟรงเกนสไตน์  เขียนขึ้น


Chapter 2
ตอนที่ 2
เรื่องราวของ วิคเตอร์  แฟรงเกนสไตน์ 1
                   ผมเกิดที่สวิตเซอร์แลนด์ ในเมืองเจนีวา  พ่อแม่ของผมรักกันมาก  และผมก็ได้เรียนรู้จากพวกเขาว่า ความรักและความอดทนนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
                    แม่ของผมหวังจะได้ลูกสาวหลังจากผมเกิด แต่เวลาผ่านไป 5 ปี  ผมก็ยังเป็นลูกคนเดียวอยู่ หลังจากนั้นเธอจึงพยายามหาน้องสาวให้ผม  เธอช่วยเหลือครอบครัวหนึ่งที่มีเด็กๆ ถึง 5 คน  พวกเขามีฐานะยากจนและเด็กๆ ก็ดูหิวโหย  หนึ่งในเด็กๆ เหล่านั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีดวงตาสีฟ้า ผมสีทอง ชื่อ อลิซาเบธ  แม่ของผมได้นำเธอคนนั้นมาเลี้ยง  แล้วเธอก็กลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของแม่ของผม อย่างที่แม่ของผมนั้นต้องการมาตลอด เมื่อผมโตขึ้น ความรักของผมที่มีต่ออลิซาเบธก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลามาโดยตลอด
          ต่อมา แม่ของผมมีลูกชายเพิ่มอีก 2 คน  คนหนึ่งชื่อ เออร์เนส และอีกคนหนึ่งชื่อ วิลเลียม และยังมีหญิงสาวอีกคน  เธอชื่อว่า จัสติน  เธอมาอยู่ที่บ้านเพื่อช่วยเรา พวกเรารักเธอเหมือนที่เธอนั้นรักพวกเราเอาใจใส่กันเสมอมา
          หลายปีผ่านไปอย่างมีความสุข  พวกเราก็มีทุกสิ่งอย่างที่พวกเราต้องการ  ที่โรงเรียนผมได้พบคนๆ หนึ่งที่ยอดเยี่ยม  เขาชื่อว่า เฮนรี  เคลอร์วอล  เขาเป็นคนฉลาดมาก ครอบครัวของผมรักเขามาก เขาเป็นผู้มาเยี่ยมที่น่ารักของพวกเรา  เรายินดีที่จะต้อนรับเขา
          ที่โรงเรียน ผมเรียนอย่างหนัก ผมต้องการรู้ความลับของชีวิต และที่สำคัญ ผมอยากรูวิธีที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้น  ผมอ่านหนังสือทุกเล่มเท่าที่จะหาอ่านได้ จนวันหนึ่ง ผมได้เกิดความคิดใหม่ที่จะมาเพิ่มเติมสิ่งที่ผมได้คิดเอาไว้ ในตอนนั้น ผมอายุได้ 15 ปี  พวกเราอยู่ในวันหยุดที่ภูเขา ที่นั่นมีพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง และมีเสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบอยู่เป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยพบเห็นในชีวิต ที่หน้าบ้านของพวกเราประมาณ 20 เมตร มีต้นไม่ใหญ่อยู่ เมื่อไหร่ที่สายฟ้านั้นผ่าลงที่ต้นไม้  หลังจากนั้นไม่นาน  ที่นั่นจะไม่เหลือสิ่งใด  นอกเสียจากถ่านไม้สูง 2 เมตร  นั่นเป็นผลจากการทำลายของสายฟ้า

          ผมได้สังเกตว่า ไฟฟ้าแรงสูงนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมเริ่มที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับไฟฟ้า  และพลังน่ากลัวเท่าที่จะหาอ่านได้


Chapter 3

ตอนที่ 3
เรื่องราวของ วิคเตอร์  แฟรงเกนสไตน์ 2
 เมื่อผมอายุได้ 17 ปี  ชีวิตของผมมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่แล้วเรื่องแย่ๆ ก็เกิดขึ้นจนได้ แม่ของผมป่วยหนัก  และเธอก็ได้รู้ว่าเธอใกล้จะตาย ก่อนที่เธอจะตาย เธอได้เรียกให้ผมกับอลิซาเบธไปหาเธอ เธอกุมมือเราและพูดว่า
          “ลูกที่รักของแม่ แม่มีความสุขที่ลูกทั้ง 2 รักกัน  และในวันหนึ่งเธอทั้ง 2 ก็คงจะต้องแต่งงานกัน ทุกๆ คนในครอบครัวรักหนูนะ อลิซาเบธ เธอจะมาแทนที่ฉันในครอบครัวจะได้ไหมอลิซาเบธลูกรัก? แม่จะไปอย่างมีความสุขหากเธอจะเป็นคนที่คอยดูแลพวกเขาเมื่อแม่ไม่อยู่”
          ในที่สุดแม่ของผมก็เสียชีวิต พวกเราเสียใจมาก เพราะเรารักเธอมาก อลิซาเบธนั้นกล้าหาญ เข้มแข็ง เธอคอยช่วยพวกเรา รอยยิ้มอันอ่อนหวานของเธอทำให้เรามีความสุขในวันที่เราทุกข์ใจ หลังจากที่แม่ของผมได้เสียชีวิตไป
เวลาผ่านไปจนกระทั่งผมได้เข้ามหาวิทยาลัย  ผมไม่อยากไปจากครอบครัวอันโศกเศร้าของผม  แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าผมต้องไป  มันยากจริงๆ ที่ผมจะไปจากที่นี่  เพราะพ่อแม่ของ เฮนรี เคลอร์วอล เพื่อนที่แสนดีของผม ดันไม่ยอมให้เฮนรีเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม  และนั่น...ทำให้ผมต้องไปเพียงคนเดียว
          วันแรกในมหาวิทยาลัย ผมได้พบครูของผม เขาคือศาสตราจารย์วอลด์แมน นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาให้คำปราศรัยและกำลังใจที่ยอดเยี่ยมแก่นักศึกษาที่เพิ่งเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้โดยการพูดลงท้ายว่า “ใครบางคนในที่นี้อาจได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนอย่างหนักและค้นคว้าเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเท่าที่คุณจะสามารถ นี่เป็นเหตุที่ทำไมพระเจ้าถึงสร้างคุณให้เป็นคนมีความรู้ ฉลาด นั่นเพื่อช่วยเหลือผู้คน”
          หลังจากที่ศาสตราจารย์พูดจบ ผมก็ได้คิดอย่างรอบคอบ ผมจำได้ถึงพายุในตอนที่ผมอายุ 15 และจำได้ว่าจะทำอย่างไรให้สายฟ้านั่นผ่าลงที่ต้นไม้  ผมอยากใช้ไฟฟ้าในการช่วยเหลือผู้คน  และผมก็อยากค้นหาความลับของชีวิต  ผมตัดสินใจที่จะทำทั้ง 2 อย่าง โดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ผมกำลังจะทำนั้น...จะทำลายคนที่ผมรัก และตัวผมเอง
ผมเริ่มทำในสิ่งที่ผมคิดในวันต่อมา ผมทำงานอย่างหนักจนกระทั่ง ศาสตราจารย์วอลด์แมนมาช่วยเหลือผม และผมก็ได้ตระหนักว่า  ผมสามารถที่จะเรียนรู้เพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีได้
          ศาสตราจารย์ช่วยผมไว้มาก และนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญอีกหลายคนที่เป็นเพื่อนของเขาก็ช่วยผมเช่นกัน  ผมสนใจแต่งานของผม ผมไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดเลย และผมก็ไม่หยุดทำงานเลยแม้แต่วันเดียวในช่วง 2 ปีจากนั้น  ผมไม่กลับไปที่บ้าน  และจดหมายที่ผมส่งให้กับครอบครัวของผมก็สั้นมาก
          หลังจากที่ 2 ปีนั้นผ่านไป ผมก็ได้ค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง และได้สร้างสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ขึ้นอย่างหนึ่งที่ดีกว่าสิ่งใดๆ ในมหาวิทยาลัย  สิ่งประดิษฐ์ของผมจะช่วยตอบคำถามที่สำคัญที่สุดจากทั้งหมดให้แก่ผม  ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไรมันเป็นไปได้รึเปล่าที่ชุบชีวิตคนได้เพื่อตอบคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตและความตาย ผมได้เฝ้ามองร่างกายของสิ่งต่างๆ ในช่วงที่สิ่งเหล่านั้นตาย และชีวิตอันอบอุ่นได้หายไปจากสิ่งเหล่านั้น ทั้งในโรงพยาบาล และในมหาวิทยาลัย ผมได้มองการตายและความตายทุกวัน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ผมได้ติดตามเฝ้าดูความตาย มันเป็นช่วงเวลาที่มืดมน และน่ากลัว โดดเดี่ยวเดียวดาย
          จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้พบคำตอบ ในตอนนั้นเองผมมั่นใจว่าผมรู้ความลับของชีวิตแล้ว ผมรู้ว่าจะชุบชีวิตได้อย่างไร
          ผมทำงานอย่างหนัก และหนักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผมนอนเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในแต่ละคืน และผมก็ไม่ค่อยกินข้าว  ผมเขียนจดหมายถึงครอบครัวของผมไม่บ่อยนัก แต่พวกเขาก็ยังรักผมอยู่เหมือนเดิม และไม่เคยหยุดส่งส่งหมายมาหาผมเลย  พวกเขาบอกว่าพวกเขาเข้าใจว่าผมยุ่ง พวกเขาไม่ได้ต้องการให้ผมหยุดทำงานเพื่อเขียนจดหมายหาพวกเขา หรือเพื่อไปเยี่ยมพวกเขา พวกเขาจะรอจนกว่าผมจะมีเวลามากกว่านี้ พวกเขาหวังว่าจะได้เจอผมในเร็ววันข้างหน้านี้
          เหล่าศาสตราจารย์ของผมได้ตระหนักว่า ผมได้ทำงานที่สำคัญมาก พวกเขาเลยมอบห้องทดลองให้แก่ผม มันเป็นห้องชุดเล็กๆ เหนือห้องแลบที่ผมอยู่ และบางครั้งผมก็อยู่ในตึกเป็นอาทิตย์โดยที่ไม่ได้ออกไปไหน
          ด้านบนของห้องแลบ ผมได้สร้างเสาสูง มันสูง 150 เมตร และมันอยู่สูงกว่าตึกที่สูงที่สุดในเมือง เสานี้สามารถล่อให้สายฟ้าผ่าลงมาและส่งไฟฟ้าสู่เครื่องจักรกลในห้องแลบของผม ผมไม่เคยลืมสายฟ้าที่ทำลายต้นไม้นั่น มันมีพลังงานไฟฟ้าแรงสูง ผมเชื่อว่าผมสามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อชุบชีวิตสิ่งที่ตายไปแล้วได้อย่างแน่นอน
          ผมจะไม่พูดมากไปกว่านี้  ความลับของเครื่องจักรกลนี้จะต้องตายไปพร้อมๆ กับผม ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มากความสามารถ แต่...ผมก็ไม่คิดเลยว่า นั่นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่ผมก่อขึ้นเอง


Chapter 4
ตอนที่ 4
เรื่องราวของ วิคเตอร์  แฟรงเกนสไตน์ 3
        ในห้องทดลองของผม ผมได้สร้างร่างกายด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ที่ผมซื้อ หรือขโมยมานั่นเอง 
          ผมไม่ให้ใครเข้าห้องทดลองหรือห้องชุดของผมเวลาที่ผมทำงานที่น่าสะอิดสะเอียนนี้  ผมไม่กล้าที่จะบอกกับใครก็ตามเกี่ยวกับความลับอันเลวร้ายนี้
          ผมต้องการสร้างชายที่งดงาม แต่หน้าของสิ่งที่ผมสร้างนั้นกลับน่ากลัว ผิวของมันบางและเหลือง ตาเหลืองเหมือนกับผิว ผมสีดำยาว และฟันที่ขาวเกือบจะสวย แต่ใบหน้าที่หลับใหลอยู่นั่นช่างน่าเกลียดยิ่งนัก
          ขาและแขนมีรูปร่างที่เหมาะสม แต่มันใหญ่ เนื่องจากผมใช้ชิ้นส่วนที่ใหญ่มาประกอบเข้าด้วยกัน  เพราะมันยากที่จะนำชิ้นส่วนเล็กๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน สิ่งมีชีวิตที่ผมสร้างขึ้นสูงถึง 2 เมตรครึ่งโดยประมาณ
          ผมใช้เวลาสร้างมันทั้งหมด 1 ปี แต่ว่ามันนั้นช่างดูเลวร้ายและน่ากลัวมาก จนผมเกือบที่จะตัดสินใจทำลายมันไป แต่ผมก็ไม่สามารถทำลงได้เพราะผมจะได้รู้เมื่อผมสามารถชุบชีวิตมันขึ้นมาได้จริงๆ
          ผมนำร่างนั้นต่อเข้าสายไฟจากเครื่องจักรกลของผม สายไฟหลายเส้นต่อกับเครื่องจักรกลยาวไปสู่เสา  ผมแน่ใจว่าเครื่องจักรกลของผมสามารถที่จะใช้ไฟฟ้าชุบชีวิตขึ้นมาได้  ผมเลยจดจ้องและรอคอยนาน 2 วัน จนในที่สุดผมก็ได้เห็นเค้าเมฆหมอกสีดำบนฟากฟ้า และผมก็รู้ได้ในทันทีว่าพายุกำลังจะมา  ในช่วงเวลาตี 1 สายฟ้าได้ผ่าลงมา เสาของผมก็ได้เริ่มทำงานสักที ไฟฟ้าจากสายฟ้าได้เคลื่อนลงจากเสาสู่เครื่องจักรกลของผม เครื่องจักรกลของผม...มันจะทำงานหรือไม่?
          ในตอนแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ผมก็เห็นร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั่นเริ่มขยับอย่างช้าๆ  อย่างน่ากลัว ร่างกายนั้นกำลังมีชีวิต ขาและแขนของมันเริ่มขยับ มันลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ
          ร่างที่ตายไปแล้วนั้นน่าเกลียด แต่มันก็มีชีวิต มันน่าขนลุกอย่างมาก ในตอนนั้นเอง ผมอยากที่จะหนีไปจากมัน ผมวิ่งออกจากห้องทดลองและลงกลอนประตู ใจของผมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับสิ่งที่ผมทำลงไป
          เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่ผมเดินขึ้นลงบันไดไปมาที่ห้องชุดของผม จนสุดท้าย ผมก็นอนลงบนเตียงและหลับไปในที่สุด  แต่การหลับของผมนั้น เต็มไปด้วยความฝันอ่าน่าขนลุก ผมตื่นในทันใด แล้วผมก็พบสิ่งที่น่าขนลุกที่สุดที่ผมได้สร้างขึ้น  มันกำลังยืนอยู่ข้างๆ เตียงนอนของผม  ตาสีเหลืองของมันจดจ้องมาที่ผม ปากของมันเปิดออกและส่งเสียงแปลกๆ ออกมา  บนหน้าสีเหลืองๆ ของมันก็มีรอยยิ้มอันน่าเกลียด และมือใหญ่ๆ นั่น...กำลังเอื้อมมาที่ผม
          หลังจากที่มันจับผม ผมก็กระโดดออกจากเตียง และลงบันไดตรงไปยังสวนใกล้บ้าน ผมอยู่ที่นั่นตลอดคืน ผมคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ตื่นกลัว และเมื่อถึงตอนเช้าผมก็ออกจากเมือง  และเริ่มเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย
          ผมไม่ได้สังเกตว่าผมกำลังเดินไปที่ไหน แต่เมื่อผมรู้สึกตัวผมก็ได้มาถึงสถานีรถไฟ รถไฟจากเจนีวาได้มาถึง และผู้โดยสารก็ออกจากสถานี หนึ่งในนั้นวิ่งเข้าหาผมเมื่อเขาพบผม  เฮนรี  เคลอร์วอล คือเพื่อนรักของผมเอง 
          เขาดีใจมากที่เห็นผม  เขาจับมือของผมแล้วเขย่าอย่างอบอุ่น
          “วิคเตอร์เพื่อนรัก” เขาพูด “มันเป็นโชคดีจริงๆ ที่นายมาอยู่ที่นี่ พ่อของนาย และอลิซาเบธ และคนอื่นๆ กำลังเป็นห่วงนายอยู่นะ เพราะนายไม่ได้ไปเยี่ยมพวกเขานานมากแล้ว พวกเขาถามฉันกันใหญ่ว่า นายยังสบายดีอยู่ไหม อ้อ! และฉันก็มีข่าวดีด้วย  พ่อของฉันยอมให้ฉันเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับนายแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกนานเลยเพื่อน”
          ผมดีใจมากที่ได้รู้ถึงเรื่องราวเหล่านั้น และนั่นเป็นครู่หนึ่งที่ผมลืมความหวาดกลัวของผม ผมพาเฮนรีไปที่ห้องชุดของผมและบอกให้เขารออยู่ด้านนอกตอนที่ผมเข้าไปสำรวจด้านใน ผมกลัวว่าสิ่งมีชีวิตนั่นจะยังอยู่ที่นี่ แต่ว่ามันได้หายไปแล้ว ในตอนนั้น ผมไม่ได้นึกถึงคนอื่นๆ ว่าสิ่งมีชีวิตนั่นจะสามารถทำอะไรพวกเขาได้ ผมพาเอนรีเข้าไปในห้องชุดของผมและทำอาหารกินกัน แต่เฮนรีได้สังเกตว่าผมนั้นผอมลง และผมหัวเราะ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งยังไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้
          ทันใดนั้นเขาจึงถามผมว่า “วิคเตอร์นายเป็นอะไรรึเปล่า? นายป่วยหรอหรือเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น?” 
          “อย่าถามฉันเลย” ผมร้องและเอามือปิดหน้า ผมคิดว่าผมเห็นสิ่งมีชีวิตอันน่าสยดสยองนั่นอยู่ข้างหน้าผม  ผมชี้นิ้วไปทั่วห้องอย่างคลุ้มคลั่งและตะโกนว่า “เขาสามารถบอกคุณได้ ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!” ผมพยายามต่อสู้กับมัน  แต่ว่ามันไม่มีอะไรเลย ต่อมาผมก็หมดสติและล้มลงที่บันได
          เฮนรีที่น่าสงสาร ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เขาเรียกหมอและจับผมนอนลงบนเตียง ผมป่วยหนักถึง 2 เดือน เฮนรีอยู่และคอยดูแลผม การดูแลผมอย่างเอาใจใส่ของเฮนรีทำให้ผมรอดจากความตาย
          ผมอยากจะกลับบ้านเพื่อพบกับครอบครัวของผมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อผมมีอาการที่ดีขึ้น ผมก็จัดเสื้อผ้าและหนังสือใส่กระเป๋าของผม สัมภาระของผมพร้อมแล้ว และผมรู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อไปรษณีย์ได้นำจดหมายส่งมาให้ผม  แต่หนึ่งในจดหมายนั้นได้ทำให้ความสุขของผมหายไปอย่างรวดเร็ว   


Chapter 5
ตอนที่ 5

เรื่องราวของ วิคเตอร์  แฟรงเกนสไตน์ 4
        จดหมายจากพ่อของผม  ส่งจากเมืองเจนีวา  นี่เป็นข้อความที่เขาเขียนในจดหมาย
วิคเตอร์ที่รัก
          พ่ออยากให้รู้ก่อนที่เธอจะกลับมาที่บ้านว่า ได้มีเรื่องที่เลวร้ายเกิดขึ้น น้องชายคนเล็กผู้เป็นที่รัก วิลเลียม เขาตายแล้วเพราะเขาถูกฆาตกรรม มันเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาตอนเย็น ตอนนั้นฉัน อลิซาเบธ  เออร์เนส และวิลเลียมได้ออกไปนอกเมือง วิลเลียมกับเออร์เนสเล่นด้วยกัน พวกเขาเล่นซ่อนแอบกัน วิลเลียมหายไปจากเออร์เนส เออร์เนสจึงไปเรียกอลิซาเบธให้ช่วยตามหาวิลเลียม พวกเราเริ่มตามหาเขา แต่เราก็หาไม่เจอ เราหาเขาตลอดทั้งคืน จนถึง 5 โมงตอนเช้า เราพบเขา เขานอนแน่นิ่งบนสนามหญ้า ตัวของเขาซีดเผือด ฉันเห็นรอยนิ้วมือบนคอของเขา เขาถูกฆาตกรฆ่าด้วยการบีบคอ
          อลิซาเบธได้ให้สร้อยทองสวมไว้ที่คอของเขา บนสร้อยนั่นมีรูปเล็กๆ อยู่ มันเป็นรูปแม่ของเธอไงล่ะ พวกเราคิดว่าใครบางคนฆ่าเขาเพื่อขโมยสร้อยทองนั่นไป อลิซาเบธผู้น่าสงสารเสียใจอย่างกับการตายของวิลเลียม เธอคิดว่า วิลเลียมตายเพราะเธอเป็นต้นเหตุ กลับบ้านเร็วๆ ล่ะ มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยอลิซาเบธได้  พวกเราต้องการเธอนะ
ด้วยรัก
พ่อของเธอ
          เฮนรีพาผมขึ้นรถไฟ การเดินทางนี่มันช่างดูยาวไกล และมันก็ดึกก่อนที่เราจะถึงเจนีวา ผมตัดสินใจที่จะพักค้างคืนในหมู่บ้านด้านนอกเมือง และไปที่บ้านในช่วงสายๆ ของพรุ่งนี้เช้า ผมอยากจะไปเห็นที่ที่วิลเลียมตาย
          ขณะที่ผมเริ่มเดินก็เกิดพายุและสายฟ้า ทำให้ท้องฟ้าสว่างวาบ ตำรวจได้นำหลักปักตำแหน่งไว้ที่ที่ฆาตกรได้ฆ่าวิลเลี่ยม ดังนั้น ผมจึงหามันได้อย่างง่ายดาย ผมร้องไห้อย่างเศร้าโศก น้องชายที่น่าสงสารของผม เขาเป็นเด็กที่น่ารัก ใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และพวกเราก็รักเขามากที่สุด
          สายฟ้าผ่าลงมาและทำให้ท้องฟ้าสว่างวูบอีกครั้ง ผมเห็นร่างที่มีขนาดใหญ่ยักษ์มหึมาท่ามกลางสายฝน  เมื่อผมมองมัน ผมก็รู้ในทันทีว่ามันคืออะไร มันคือสิ่งมีชีวิตที่ผมได้สร้างไว้
          เขามาทำอะไรที่นี่? ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นเพียงคำถามที่ผมถามกับตัวเอง แต่ผมก็รู้ว่า เขาคือฆาตกรที่ฆ่าน้องชายของผม  และผมเชื่อว่านั่นเป็นความจริง
          ผมตัดสินใจที่จะพยายามจับเขา แต่เมื่อผมขยับตัว เขาก็วิ่งไปที่ภูเขา เขาวิ่งเร็วมาก เร็วกว่าคนทั่วๆ ไป เขาปีนขึ้นไปบนภูเขาได้อย่างง่ายดายจนถึงยอดเขา แล้วเขาก็หายลับไป
          ผมยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนและความมืดมิด ผมได้รู้ว่าผมได้สร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมา และสิ่งนั้นก็ฆ่าน้องชายของผมเสียแล้ว

No comments:

Post a Comment