▂▃▅▆█♫ WELCOME to TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.♫◤ยินดีต้อนรับเข้าสู่ TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.◥ ...♥Miss You So Much♥ ...█▆▅▃▂

Monday, August 31, 2015

Learning Log : 18th August, 2015.

SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
NSTRU

Learning Log
 18th August, 2015.

          ผมเป็นคนหนึ่งที่ประสบปัญหาในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ แต่ผมไม่ท้อ รู้ไว้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของการเรียนภาษา ไม่ว่าจะภาษาใดๆ บนโลกใบนี้ เพราะเมื่อภาษาแปลงร่างจากการเขียนเป็นการพูด จะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงของผู้พูดแต่ละคนที่มีเป็นร้อยเป็นพันแบบ การรวบคำให้กระชับ ประโยคแสลง และอีกสารพัดปัจจัยที่ทำให้การฟังยุ่งยาก แต่เรื่องแบบนี้สามารถฝึกฝนกันได้ด้วยเคล็ดลับดีๆ ก่อนอื่นขอให้จำไว้เลยว่าต้อง ฝึกฟังจากเรื่องง่ายไปหายาก ช่วงแรกของการฝึกถ้าเราไปฟังข่าวยากๆ ยาวๆ ที่มีศัพท์แปลกๆ ไม่คุ้นหูอยู่มากมาย แล้วเกิดฟังไม่เข้าใจขึ้นมา อาจทำให้เกิดอารมณ์สิ้นหวังได้ ดังนั้นเราจึงควรเริ่มจากฟังอะไรสั้นๆ ง่ายๆ ที่เขาพูดช้าๆ ให้เข้าใจเสียก่อน เน้นฟังสำเนียงที่ถูกต้อง ฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป
          ขั้นตอนในการฝึกฝนมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการฝึกฝนภาษาของผม ผมใช้วิธีที่ผมคิดว่าเป็นวิธีที่เยี่ยมที่สุดมาใช้ นั่นก็คือ
1. ฟังรอบแรกรวดเดียวจบ โดยไม่ดูบทความที่แนบมากับคลิปเสียง สูดหายใจลึกๆ หามุมที่นั่งสบายๆ ผ่อนคลาย ไม่ต้องกังวลว่าจะฟังไม่รู้เรื่อง
2. ฟังซ้ำอีกครั้งเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม
3. ฟังและหยุดคลิปทุกๆ 5 วินาที ขณะที่หยุดนั้นให้เขียนคำหรือวลีอะไรก็ได้ที่เราได้ยินออกมาให้ได้มากที่สุด เมื่อฟังจบทั้งคลิปแล้ว ลองอ่านโน้ตย่อๆ ของเราดูว่า เราพอจะจับคอนเซ็ปต์ได้หรือไม่ว่าในคลิปกำลังพูดถึงเรื่องอะไร การฝึกในเบื้องต้นเราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกคำพูด แค่พอเข้าใจคร่าวๆ ก็ถือว่าโอเคแล้ว
4. ทำซ้ำแบบเดิมกับข้อ 3. แต่พยายามเติมคำศัพท์ลงไปให้มากขึ้น และแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ จากการเขียนครั้งแรก
5. เขียนเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นประโยค ลองใช้ความรู้ด้านไวยากรณ์ปะติดปะต่อคำและวลีต่างๆ เข้าด้วยกัน
6. เก็บโน้ตย่อชิ้นแรกออกไป เริ่มฟังคลิปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้หยุดคลิปทุกๆ 10 วินาที แล้วเขียนสิ่งที่ได้ยินออกมาเหมือนเดิม จากนั้นลองนำมาเปรียบกับโน้ตย่อชิ้นเก่าดู
7. ฟังคลิปเสียงอีกครั้ง โดยอ่านโน้ตย่อของตัวเองตามไปด้วย
8. เปรียบเทียบโน้ตย่อกับบทความจริงที่ถูกต้อง ถ้าพบว่ามีคำผิดเยอะ ต้องลองวิเคราะห์ดูว่าปัญหาในการฟังของผมเกิดจากอะไร บางคนอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะออกเสียงไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักคำศัพท์ หรือมีปัญหากับเสียงหนัก เสียงเบา การเชื่อมคำ การรวบประโยค ก็ต้องลองแก้ปัญหาเป็นจุดๆ ไป
9. ฟังคลิปอีกครั้งไปพร้อมๆ กับการอ่านบทความที่ถูกต้อง เพื่อเช็คว่าตรงส่วนไหนบ้างที่ผมพลาดไป จากนั้นลองกลับฟังรอบสุดท้ายแบบไม่อ่านโน้ตและบทความเลย ซึ่งพอถึงขั้นตอนนี้ผมควรจะเข้าใจเรื่องราวในนั้นมากยิ่งขึ้น
          ส่วนในการเลือกคลิปเสียง ถ้าเป็นเรื่องที่เราสนใจจะยิ่งกระตุ้นให้เราอยากฝึกฝนมากยิ่งขึ้น ในส่วนของผมนั้นจะเลือกสิ่งที่ผมสนใจ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางบันเทิง นั่นก็คือ ซีรีย์ของสหรัฐอเมริกา หรือเป็นการฟังเพลงเพื่อจับสำเนียงของศิลปินการฝึกด้วยเพลงคือหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะนอกจากจะได้ฝึกฟังสำนวนภาษาและเรียนรู้วิธีออกเสียงแล้ว เพลงยังทำให้รู้สึกเพลิดเพลินและโฟกัสกับการเรียนรู้ได้นานขึ้นด้วย สำหรับผมที่กำลังเริ่มต้นฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง มีวิธีฝีกหลากหลายแบบ ดังนี้
                   1. รู้จักแหล่งหาเพลงดีๆ
การมีเนื้อเพลงให้ร้องตามไปทีละท่อนจะช่วยให้การหัดฟังเพลงภาษาอังกฤษง่ายขึ้น หากอยากฟังเพลงแบบสนุกขึ้น
2. เลือกเพลงให้เหมาะสม
ควรเริ่มฝึกจากเพลงป็อป เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเกี่ยวกับความรัก ความโรแมนติก ใช้คำศัพท์ง่ายๆ ซ้ำๆ จากนั้นเมื่อชำนาญมากขึ้น จึงค่อยแตกสาขาไปฝึกจากเพลงประเภทอื่นๆ ที่กว้างขึ้น
3. ฝึกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
การอ่านเนื้อเพลงตามไปด้วย จะทำให้เข้าใจความหมายของเพลงและจดจำศัพท์ได้ดียิ่งขึ้น แต่การฟังครั้งแรกๆ ควรลองฟังแบบไม่ดูเนื้อเพลงก่อน แล้วพยายามเขียนคำศัพท์หรือประโยคเท่าที่พอจับใจความได้ออกมาให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงค่อยฟังซ้ำโดยเปิดเนื้อเพลงตามไปด้วย
4. ร้องตามอย่างเต็มเสียง
เวลาร้องตามขอให้ร้องอย่างเต็มเสียง และขยับปากอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฝึกกล้ามเนื้อริมฝีปาก เพราะภาษาอังกฤษมีการใช้กล้ามเนื้อริมฝีปากมากกว่าภาษาไทย ฝึกบ่อยๆ จะทำให้สำเนียงเราใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากขึ้น
5. พยายามร้องเพลงจากความจำ
ว่างๆ ก็ลองหัดฮัมเพลงเป็นภาษาอังกฤษแบบไม่ดูเนื้อร้องดู จะช่วยให้เราคุ้นชินกับการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมากขึ้น

6. ฟังเพลงสลับไปสลับมา
ในรอบแรกอาจจะฟังแบบผ่านๆ แล้วดูเนื้อตามไปหลายๆ เพลงก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับมาฟังเพลงแรกแล้วทบทวนคำศัพท์ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด
7. ค้นหาเพลงใหม่ที่ระดับยากขึ้น
เพื่อการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ ควรท้าทายตัวเองด้วยการเลือกเพลงที่ระดับยากขึ้น ซึ่งจะทำให้สำนวนและคลังคำศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย
การฝึกภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี ไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันฝึกวันละหลายๆ ชั่วโมงก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอ อาจจะฝึกแค่วันละ 1-2 ชั่วโมง แต่ต้องอย่าละทิ้งเป้าหมายกลางคัน หากไม่ท้อถอยเสียก่อน ไม่นานเกินรอต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
          เมื่อผมรู้สึกว่าทักษะของผมเริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว ระหว่างฟังจะฝึกพูดไปด้วย การพูดตามจะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่ฟังมากขึ้น และเป็นการรีเช็คให้มั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นถูกต้องมากยิ่งขึ้นด้วย ระยะเวลาในการเพิ่มความสามารถของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะใช้เวลาเป็นเดือน หรือบางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นปี ขึ้นอยู่กับความสามารถและความมุ่งมั่น การเรียนภาษาไม่มีทางลัด การฝึกฝนเท่านั้นที่จะทำให้เราเก่งขึ้นได้ ยิ่งใครอยากไปเป็นนักเรียนนอกก็ยิ่งต้องฟิตให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าผลจากความพยายามอย่างสุดความสามารถ จะตอบแทนเราอย่างคุ้มค่าแน่นอน ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจในการฝึกภาษาให้กับเพื่อน ๆ ของผมทุก ๆ คนนะครับ
SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.

NSTRU

No comments:

Post a Comment