▂▃▅▆█♫ WELCOME to TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.♫◤ยินดีต้อนรับเข้าสู่ TRANSLATION™ (1103301) : การแปล 1.◥ ...♥Miss You So Much♥ ...█▆▅▃▂

Monday, August 31, 2015

SUMMARY CHART OF VERB TENSES : 18th August, 2015.

SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.
NSTRU

SUMMARY CHART OF VERB TENSES
18th August, 2015.

          ในแต่ละวัน ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในชีวิตของทุกคน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลนี้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สำคัญมาก เพราะเป็นภาษาสากลของโลกของเรา การเรียนภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายนัก โดยเฉพาะเรื่องของการแปล การแปลที่ดีนั้นจะต้องได้ภาษาไทยที่สละสลวย สวยงาม อ่านแล้วสามารถจินตนาการ และคิดตามได้ ใช้ภาษาที่กะทัดรัด รัดกุม ทำให้งานแปลชิ้นนั้นออกมามีคุณภาพได้ จึงต้องมีการฝึกฝน พัฒนา และปฏิบัติทักษะในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Syntax คือ วากยสัมพันธ์ (โครงสร้าง รูปแบบของภาษา) ซึ่งรวมไปถึงเรื่อง Tense คือกาล ด้วย ครูภาษาอังกฤษจะต้องมีการฝึก พัฒนาตนอยู่สม่ำเสมอ และตลอดเวลา เพื่อที่จะก้าวไปเป็นครูมืออาชีพด้านภาษาอังกฤษ เป็นครูที่มีคุณภาพในอนาคตได้
          การเรียนภาษาอังกฤษทางด้านการแปล เราต้องเริ่มจากการพัฒนาด้านโครงสร้างทางภาษาเสียก่อน เรื่องนั้นก็คือ เรื่อง Syntax คือ รูปแบบ การใช้คำ หลักไวยากรณ์ เพื่อให้เกิดเป็นรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎของภาษานั้น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของหลักไวยากรณ์ไทยที่กำหนดขึ้นเป็นหนึ่งในแบบแผนหรือไวยากรณ์ของภาษาไทย เป็นส่วนหนึ่งของภาษาที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการสร้างวลีต่างจากคำ การรวมกันของวลีต่างๆเป็นวลีที่ใหญ่ขึ้น ลักษณะสำคัญของ Syntax คือ การรวมกันของคำเป็นวลี หรือการรวมวลีกับวลี เป็นวลีที่ใหญ่ขึ้นนั้นมีข้อจำกัดหรือกฎของการรวมกันดังกล่าว ดังนั้นจะเห็นว่าบางประโยคหรือวลีไม่ถูกต้อง (ungrammatical หรือ ill-formed) เพราะเกิดจากการรวมกันที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของ Syntax ในภาษานั้น ๆ
          วิธีที่จะทำให้เราเข้าใจ Syntax ให้มากยิ่งขึ้นคือ ศึกษาด้านโครงสร้างของภาษาอังกฤษ โครงสร้างของภาษาอังกฤษ ก็คือ หลักไวยากรณ์ (Grammar) ของภาษาอังกฤษ ประเด็นหลัก ๆ ก็คือเรื่อง Tense (กาล) นั่นเอง Tense คือ รูปแบบของกิริยาที่แสดงให้ทราบว่า การกระทำหรือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไร ได้เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นในการข้างหน้าภาษาอังกฤษนั้นมีรูปแบบประโยคที่เรียกว่า Tense เอาไว้แสดงเวลาในกรณีต่างๆ กัน โดยจะทำให้ส่วนของ Verb นั้นเปลี่ยนรูปแบบไป (ซึ่ง verb ที่เปลี่ยนไปตาม Tense คือ Verb แท้ของประโยค) แบ่งเป็น 3 ประเภทเวลาใหญ่ๆ คือ
ปัจจุบัน Present = V1
อดีต Past = V2,
อนาคต Future = Will + V
แต่ละเวลาจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบย่อย คือ
Simple = V (รูปแบบอย่างง่าย)
Continuous = be + Ving (กำลังทำ)
Perfect = Have + V3 (เกิดก่อนอีกอัน เวลาไม่สำคัญ)
โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
 [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
 [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
 [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
 [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
 [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
 [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
 [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
 [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
 [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
 [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
 [3.3]  S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[3.4]  S  +  will, shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า)
1. Present Tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
1.1 Present Simple บอกข้อเท็จจริงทั่วไป
I eat rice every day. ฉันกินข้าวทุกวัน
1.2 Present Continuous บอกเหตุการณ์ที่กำลังกระทำขณะนี้
I am eating rice. ฉันกำลังกินข้าว
1.3 Present Perfect บอกเหตุการณ์ที่ได้ทำเสร็จแล้วขณะพูด หรือ เหตุการณ์ที่กระทำต่อเนื่อง
มาจนถึงปัจจุบันนี้
I have eaten rice. ผมกินข้าวแล้ว (กินอิ่มมาแล้ว)
I have eaten rice for 20 minutes. ผมกินข้าวแล้วเป็นเวลา 20 นาที (ตอนนี้ก็กินอยู่)
1.4 Present Perfect Continuous บอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คล้ายกับ Present Perfect แต่ตัวนี้เป็นการเน้นว่าทำแบบไม่หยุดเลย
I have been eating rice for 1 hour. ผมกินข้าว (แบบไม่พูดคุยหรือลุกไปไหนเลย)เป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว
2. Past Tense เป็นเรื่องราวในอดีต
2.1 Past Simple บอกว่าได้ทำอะไร เมื่อไหร่ในอดีต
I ate rice yesterday. ฉันกินข้าวเมื่อวาน
2.2 Past Continuous บอกเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในอดีต
I was eating rice when my dad came. ฉันกำลังกินข้าวอยู่ เมื่อพ่อมาถึง
2.3 Past Perfect บอกเหตุการณ์ที่ได้ทำเสร็จแล้วในอดีต
I had eaten rice when my dad came. ผมกินข้าวเสร็จแล้ว เมื่อพ่อมาถึง
2.4 Past Perfect Continuous บอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึง ณ เวลาหนึ่งในอดีต
I had been eating rice for 1 hour when my dad came. ผมกินข้าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว เมื่อพ่อมาถึง
3. Future Tense เป็นเรื่องราวในอนาคต
3.1 Future Simple บอกว่าจะทำอะไร ในอนาคต
I will eat rice tomorrow. ฉันจะกินข้าวพรุ่งนี้
3.2 Future Continuous บอกเหตุการณ์ที่จะกระทำอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต
At nine o’clock tomorrow, I will be eating rice. เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ฉันจะกำลังกินข้าวอยู่นะ (ห้ามโทรมา ห้ามมาเรียก)
3.3 Future Perfect บอกเหตุการณ์ที่จะทำเสร็จแล้วในอนาคต
At nine o’clock tomorrow, I will have eaten rice. เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมกินข้าวเสร็จแล้วนะ (โทรมาได้ เพราะว่างแล้ว)
3.4 Future Perfect Continuous บอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึง ณ เวลาหนึ่งในอนาคต
At nine o’clock tomorrow, I will have been eating rice for 1 hour. เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจะกินข้าวแล้วเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว (บอกให้รู้เฉยๆว่าฉันจะกินข้าวนานแค่ไหน)
                   ถือว่าการเรียนเรื่อง Tense (กาล) มีความสำคัญมาก เพราะก่อนที่เราจะใช้ทักษะทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน เราจำเป็นต้องทราบถึง Tense (กาล) ว่ามีหลักการใช้อย่างไร ทำให้เราสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเต็มที่ เมื่อทราบถึงเรื่อง Tense (กาล) ว่าแต่ละชนิดมีหลักการใช้อย่างไร การแปลของเราของจะลื่นไหลยิ่งขึ้น เพราะเราเข้าใจในเรื่องของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ทำให้งานแปลมีความถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
          ปัจจุบันนี้ ภาษาอังกฤษได้ครอบคลุมไปทั่วโลกแล้ว คนที่เรียนในทางด้านนี้จะได้เปรียบอยู่แล้ว อย่างน้อยครึ่งทางก็ไม่ตกงานแน่นอน แต่การเรียนภาษานั้นจะต้องมีความมุ่งมานะ พยายามใช้ภาษาให้บ่อย ๆ เป็นประจำทุกวัน ทุกเวลา การเรียนรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาใดก็แล้วแต่มีเพียง 4 ทักษะหลักๆที่เราจะต้องเรียนรู้ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ก่อนทำการศึกษาเราควรรู้
- ระดับของตัวเองก่อนว่าภาษาเราแย่มาก แย่ ใช้ได้ ดี หรือ ดีมากแค่ไหน
วิธีทดสอบไม่ต้องไปหาแบบทดสอบมาทำให้ยุ่งยากเพราะเรารู้ตัวเราเองอยู่แล้วว่าเราอยู่ระดับไหน เพียงแค่ไม่โกหกตัวเองเป็นพอ
- ตั้งเป้าหมายหรือหาจุดมุ่งหมายของการเรียนว่าเราจะพัฒนาทักษะด้านใดดี
- ขั้นตอนต่อไปก็เพียงแค่เริ่มลงมือและอดเท่านั้นเองจึงจะได้เป็นมืออาชีพทางด้านภาษาได้
          คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า ภาษาอังกฤษ ถือว่ามีความจำเป็นและสำคัญต่อการใช้ชีวิตในโลกยุคอนาคต เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่เราควรจะศึกษาให้เรียนรู้และเข้าใจนั่นเอง ความสำคัญ 10 ข้อของการเรียนภาษาอังกฤษคือ
1. ภาษาอังกฤษคือภาษาที่เป็นทางการของโลก ถึงแม้ว่าภาษาจีนจะมีคนพูดมากที่สุดก็ตาม
2. เพิ่มโอกาสของการได้งานดีๆ และมีรายได้มากขึ้น
3. ภาษาอังกฤษ ถูกใช้เป็นทางการในกว่า 53 ประเทศทั่วโลก
4. มีคนกว่า 400 ล้านคนทั่วโลก พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
5. ในแวดวงสื่อแล้ว ยังคงใช้ภาษาอังกฤษในการนำเสนอและติดต่อสื่อสารเป็นหลัก
6. ในอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน ภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาหลักของโลกอินเตอร์เน็ต
7. ภาษาอังกฤษเรียนรู้ง่าย เพราะมีตัวอักษรเพียงแค่ 26 ตัว
8. การเรียนรู้ภาษา จะช่วยให้เกิดความภูมิใจที่ได้เรียนและเข้าใจภาษาใหม่ๆ
9. ในหลายๆโรงเรียน สถาบัน และมหาวิทยาลัยทั่วโลก เปิดสอนสาขาวิชาต่างๆเป็นภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น แม้ประเทศนั้นจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ตาม
10. ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ของประเทศนั้นผ่านภาษา โดยไม่ใช่ประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว
ทั้ง 10 ข้อนี้ก็เป็นเหตุผลที่ช่วยให้เราได้เข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมภาษาอังกฤษจึงสำคัญ และทำไมเราควรเรียนรู้เอาไว้ ยังไงการรู้หลายๆภาษาก็ย่อมได้เปรียบกว่ารู้ภาษาเดียวนั่นเอง
การเรียนรู้ภาษาที่สามจะต้องมาควบคู่กับความขยันและอดทน หากขาดสิ่งนี้การเรียนรู้แทบจะไม่ได้ผลเลย ยังไงก็ต้องมีความพยายาม ภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งที่ยากหรือน่ากลัว แต่หากเราไม่รู้แล้วเกิดจำเป็นต้องใช้ในวันข้างหน้าความน่ากลัวจะมาเยือน ดังนั้น ผมจะตั้งใจเรียน รับผิดชอบในการงาน กล้าพูด กล้าทำ มีความมั่นใจในการใช้ภาษา พยายามใช้ทักษะให้บ่อยเพื่อที่จะได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น และใช้ภาษาได้อย่างเต็มรูปแบบ ผมจะเป็นคุณครูที่ดีให้ได้ในอนาคต
https://ihavetousethesyntax.wordpress.com/
http://my.dek-d.com/privateeng/blog/?blog_id=10167537
http://www.wegointer.com/2013/12/reasons-to-study-eng/
http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/สรุปหลักการใช้-12-tense-ฉบับย่อ
http://superlovestudio.blogspot.com/2009/10/syntax-semantics-pragmatics.html
SUKSAN CHAIRAKSA NO.5681114011
ENGLISH MAJOR ’01, FACULTY OF EDUCATION.

NSTRU

No comments:

Post a Comment